วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กีฬากาบัดดี้ (kabaddi)


ความเป็นมาของกีฬากาบัดดี้(kabaddi)

          กีฬากาบัดดี้เป็นกีฬาพื้นบ้านมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ 4,000 ปีก่อน มักเล่นกันทั่วไปในแถบเอเชียเขตร้อน โดยเฉพาะในแถบเอเชียใต้ที่นิยมเล่นกันอย่างแพร่หลาย แต่ชื่อเรียกแตกต่างกันไป คือ บังคลาเทศ เรียกว่า ฮาดูดู, อินเดียและปากีสถาน เรียกว่า กาบัดดี้, ศรีลังกา เรียก กูดู ,เนปาล เรียก โดโด ,มาเลเซีย เรียก ชิดูกูดู หรือไทยเองจะเรียกว่า ตี่จับ นั่นเอง
          โดยประเทศอินเดีย เนปาล บังคลาเทศ ปากีสถาน และศรีลังกา ได้ร่วมกันก่อตั้ง สหพันธ์กาบัดดี้สมัครเล่นแห่งเอเชีย ( A.A.K.F. ) ขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ.1978 แต่กาบัดดี้เพิ่งจะถูกบรรจุให้จัดการแข่งขันในมหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในปี ค.ศ.1990 โดยครั้งแรกนั้นมี 6 ชาติส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันคือ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน และเนปาล แต่เนื่องจากเป็นกีฬาใหม่คนจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

          จนกระทั่งในเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 12 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น กีฬากาบัดดี้ได้รับความสนใจจากผู้ชมจำนวนมาก เนื่องจากดูแล้วสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ และยังได้รับการสนับสนุนจากสหพันธ์กาบัดดี้สมัครเล่นแห่งเอเชีย (A.A.K.F.), สมาคมกาบัดดี้ ญี่ปุ่น (J.A.K.A.) และสหพันธ์โอลิมปิกแห่งเอเชีย (I.O.A.) จนได้มีการจัดแข่งขัน กาบัดดี้ ประเภทชายตลอดในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ซึ่ง 5 ครั้งที่ผ่านมา อินเดียคว้าเหรียญทองมาครองได้ทั้งหมด ขณะที่ประเภทหญิงเพิ่งถูกบรรจุให้มีการแข่งขันครั้งแรกในปี 2010 ที่กวางโจวเกมส์ ซึ่งทีมชาติไทยได้ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขัน และได้เข้าชิงเหรียญทองกับอินเดียด้วย
          นอกจากนี้ กีฬากาบัดดี้ยังถูกบรรจุในการแข่งขันมหกรรมกีฬาของเอเชียอื่น ๆ ด้วย เช่น เอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ เอเชี่ยนบีชเกมส์ รวมทั้งยังมีการจัดแข่งขันกาบัดดี้ เวิล์ดคัพ ทุก 3 ปีครั้ง เริ่มจัดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2004 ปัจจุบัน กีฬากาบัดดี้เริ่มแพร่หลายไปยังทวีปยุโรปมากขึ้น โดยพบว่า ในประเทศรัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ ก็นิยมเล่นกาบัดดี้ เช่นเดียวกับประเทศในแถบทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย 

 วิธีการเล่น-กติกา กาบัดดี้ แบบคร่าว ๆ

          รู้จักประวัติของกาบัดดี้กันไปแล้ว ก็มาทำความรู้จักกติกา กาบัดดี้ กันหน่อยดีกว่า โดยสนามแข่งขันประเภทชายจะกว้าง 10 เมตร ยาว 13 เมตร จำกัดน้ำหนักไม่เกิน 80 กิโลกรัม ส่วนประเภทหญิง สนามกว้าง 8 เมตร ยาว 12 เมตร จำกัดน้ำหนักไม่เกิน 70 กิโลกรัม
          กาบัดดี้ จะแบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ครึ่ง แข่งขันครึ่งละ 20 นาที พักครึ่งไม่เกิน 5 นาที ผู้เล่นจะแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายละ 7 คน (มีผู้เล่นสำรองฝ่ายละ 5 คน รวมทั้งทีม 12 คน) แต่ละฝ่ายจะผลัดกันเป็นฝ่ายรุก และฝ่ายรับ หากเป็นฝ่ายรุก ผู้เล่น 1 คนของฝ่ายรุกจะต้องเดินไปยังฝั่งตรงข้าม ส่วนฝ่ายรับ 7 คนจะต้องยืนจับมือเรียงกันเป็นแถวไว้ คอยต้อนไม่ให้คนรุกกลับเข้าไปในแดนของตัวเอง หรือสามารถแตะเส้นกลางสนามได้ 

          ขณะที่ผู้รุกเอง หากเดินเลยเส้นกลางสนามไปแล้ว ต้องเปล่งเสียง "กาบัดดี้" ตลอดช่วงการหายใจครั้งเดียว และต้องพยายามแตะตัวฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งกลับไปแตะเส้นกลางสนามให้ได้ หากผู้เล่นฝ่ายรุกคนนั้นใช้เวลารุกนานกว่า 30 วินาที ไม่กลับแดนของตัวเอง ฝ่ายรับจะได้คะแนนทางเทคนิค 1 คะแนนทันที
          หากผู้รุกถูกฝ่ายรับจับ หรือหยุดเปล่งเสียงกาบัดดี้ ผู้รุกคนนั้นจะต้องออกจากสนามมานั่งพัก ให้ผู้รุกคนอื่นเล่นต่อไป โดยสลับเป็นฝ่ายรับบ้าง ส่วนฝ่ายรับหากเล่นอันตราย หรือทำผิดกติกาก็จะถูกให้ออกจากการแข่งขันเช่นกัน ทั้งนี้ ผู้เล่นจะกลับเข้ามาเล่นได้ใหม่ ก็ต่อเมื่อผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามถูกประกาศให้ออกจากการแข่งขัน โดยจะกลับเข้ามาได้ในจำนวนที่เท่ากับฝ่ายตรงข้ามถูกให้ออก แต่หากเป็นการแข่งขันในช่วงต่อเวลาพิเศษเพื่อหาผู้ชนะ จะไม่มีการให้ผู้เล่นกลับเข้ามาในสนามได้ 

          แต่หากทีมใดเหลือผู้เล่นในสนาม 1 หรือ 2 คน ผู้ฝึกสอนสามารถแจ้งกรรมการขอเอาผู้เล่นออก เพื่อจะเริ่มเกมใหม่ 7 คนได้ โดยทีมนั้นจะเสียคะแนน 1 คะแนนต่อผู้เล่น 1 คน และต้องเสียคะแนนล้างทีมอีก 2 คะแนน เพื่อเริ่มเกมใหม่

สนามการแข่งขัน กี่ฬากาบัดดี้

การได้คะแนน 
  • หากฝ่ายรับจับผู้รุกไว้ได้ในแดนของฝ่ายรับ จะได้รับ 1 คะแนน
  • ผู้รุกที่รุกโดยไม่ผิดกติกา และทำให้ฝ่ายรับออกจากการเล่นได้ จะได้ 1 คะแนน
  • ผู้รุกสามารถข้ามเส้นคะแนนพิเศษ (Bonus Line) จะได้ 1 คะแนน
  • ผู้รุกสามารถข้ามเส้นคะแนนพิเศษ (Bonus Line) โดยไม่ได้สัมผัสหรือต่อสู้กับฝ่ายรับจะได้ทันที  1 คะแนน 
  • หากทำให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามถูกประกาศออกจากสนามจนหมดจะได้ 2 คะแนน
  • เมื่อทีมทำให้ผู้เล่นของฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดถูกประกาศให้ออก และไม่มีผู้เล่นคนใดในทีมกลับมาเล่นใหม่ได้ ทีมนั้นก็จะได้คะแนนล้างทีม (Lona) 2 คะแนน

 ประโยชน์ของ กาบัดดี้ 

          กาบัดดี้ ถือเป็นกีฬาที่เล่นง่าย สนุกสนาน และเสียค่าใช้จ่ายน้อย แรกเริ่มกีฬากาบัดดี้ถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อฝึกความคล่องแคล่วว่องไว ในการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม นักกีฬากาบัดดี้จะได้ฝึกฝนทักษะการต่อสู้ ความฉลาดและไหวพริบ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทั้งขณะที่เป็นฝ่ายรุก และตั้งรับ รวมทั้งยังได้ฝึกพลังปอด อวัยวะภายใน เนื่องจากขณะออกเสียง "กาบัดดี้" หัวใจ ปอด อวัยวะภายในจะได้ทำงาน ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดีด้วย 

ตัวอย่างการแข่งขันกีฬา กาบัดดี้

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปันจักสีลัต (Pencak Silat)



          ปันจักสีลัต (Pencak Silat) เป็นคำที่มาจากภาษาอินโดนีเซียมาจากคำว่า "ปันจัก" (Pencak) หมายถึงการป้องกันตนเอง และคำว่า "สีลัต" (Silat) หมายถึงศิลปะรวมความแล้วหมายถึงศิลปะการป้องกันตนเอง กีฬาประเภทนี้เดิมเป็นศิลปะการต่อสู้ของคนเชื้อสายมาลายู ในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย คือ ปัตตานี ยะลา สตูล นราธิวาส และสงขลา เรียกว่า สิละ” “ดีกาหรือ บือดีกาเป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า เน้นให้เห็นลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงาม มีบางท่านกล่าวว่า สิละมีรากคำว่า ศิละ ภาษาสันสกฤต
         ทั้งนี้เพราะดินแดนของมลายูในอดีตเคยเป็นดินแดนอาณาจักรศรีวิชัย ที่มีวัฒนธรรมอินเดียเข้ามามีบทบาทที่สำคัญ จึงมีคำสันสกฤตปรากฏอยู่มาก ประวัติความเป็นมาของปันจักสีลัตนั้น มีตำนานเล่าต่อกันมาหลายตำนาน ซึ่งมีส่วนตรงกันและแตกต่างกันบ้างโดยเฉพาะต้นกำเนิดของกีฬาประเภทนี้ซึ่ง เขียนขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศที่ได้เขียนมา อินโดนีเซียเล่าไปอย่างหนึ่ง มาเลเซียก็เล่าไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป แต่สำหรับครั้งนี้จะขอนำบทความส่วนหนึ่งที่เขียนโดย อาจารย์ประพนธ์ เรืองณรงค์ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เรื่องสิละมวยไทยมุสลิม เพื่อเป็นการศึกษาในเรื่องสิละที่ชาวไทยมุสลิมในจังหวัดทางภาคใต้รู้จักกันดี

          ประวัติความเป็นมาของปันจักสีลัตนั้น มีตำนานเล่าต่อกันมาหลายตำนาน ซึ่งมีส่วนตรงกันและแตกต่างกันบ้างโดยเฉพาะต้นกำเนิดของกีฬาประเภทนี้ซึ่งเขียนขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศที่ได้เขียนมา อินโดนีเซียเล่าไปอย่างหนึ่ง มาเลเซียก็เล่าไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป แต่สำหรับครั้งนี้จะขอนำบทความส่วนหนึ่งที่เขียนโดย อาจารย์ประพนธ์ เรืองณรงค์ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เรื่องสิละมวยไทยมุสลิม เพื่อเป็นการศึกษาในเรื่องสิละที่ชาวไทยมุสลิมในจังหวัดทางภาคใต้รู้จักกันดีสู้ด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า เน้นให้เห็นลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงาม มีบางท่านกล่าวว่า สิละมีรากคำว่า ศิละ ภาษาสันสกฤตMubin Sheppard ได้กล่าวถึงตำนานสิละไว้ว่า การต่อสู้แบบสิละมีมาตั้งแต่ 400 ปีมาแล้วโดยกำเนิดที่เกาะสุมาตรา ต่อมาผู้สอนได้ดัดแปลงแก้ไขให้เข้ากับยุคสมัย ตำนานว่า สมัยหนึ่งสามสหายเชื้อสายสุมาตรา ชื่อ บูฮันนุดดิน ซัมซุดดิน และฮามินนุดดิน เดินทางจากมินังกาบัง ฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตราไปศึกษาวิทยายุทธ ณ เมืองอะแจ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสุมาตรา สำนักวิทยายุทธนั้นอยู่ใกล้สระน้ำใหญ่ น้ำในสระไหลมาจากหน้าผาสูงชัน ริมสระมีต้นบอมอร์ ออกดอกสีม่วงสดกลมกลืนกับสีนกกินปลา ซึ่งถลาร่อนเล่นน้ำเนืองนิตย์ วันหนึ่ง ฮามินนุดดินไปตักน้ำที่สระแห่งนั้น เขาสังเกตเห็นว่าแรงน้ำตกทำให้น้ำในสระเป็นระลอกคลื่นหมุนเวียน และที่น่าทึ่งคือ ดอก บอมอร์ช่อหนึ่ง ซึ่งหล่นจากต้น ถูกน้ำพัดตกลงกลางสระแล้วจึงถอยย้อนกลับไปใกล้ตลิ่งลอยไปลอยมา เช่นนี้ประหนึ่งว่ามีชีวิต จิตใจ ฮามินนุดดิน เพิ่มความพิศวงถึงกับวางกระบอกไม้ไผ่ซึ่งบรรจุน้ำ แล้วจ้องมองดอกไม้ในสระเป็นเวลานาน จากนั้นชายหนุ่มรีบคว้าดอกไม้ช่อนั้นกลับมา เขาได้นำลีลาการลอยของดอกบอมอร์มาประยุกต์สอนการร่ายรำให้แก่เพื่อนทั้งสองและช่วยกันคิดวิธีเคลื่อนไหวโดยอาศัยแขนขา เพื่อป้องกันฝ่ายปรปักษ์ วิชาสิละจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้

         เมื่อสามสหายเดินทางกลับถิ่นเดิมแล้ว ต่างตั้งตัวเป็นครูสอนวิทยายุทธและศาสนาอิสลาม การแต่งกายของนักสิละเท่าที่สังเกตมุ่งที่ความสวยงามเป็นประการสำคัญ เช่น มีผ้าโพกศีรษะ สวมเสื้อคอกลมหรือคอตั้ง นุ่งกางเกงขายาว แล้วมีผ้าโสร่งเรียกผ้าชอเกตลาย สดสวยสวมทับพร้อมกับมีผ้าลือปักคาดสะเอวหรือมิฉะนั้นก็คาดเข็มขัดทับโสร่งให้กระชับ นอกจากนั้นเหน็บกริชตามฉบับนักสู้ไทยมุสลิม

          เครื่องดนตรีสิละประกอบด้วยกลองยาว 1 ใบ กลองเล็ก 1 ใบ ฆ้อง 1 คู่ และปี่ยาว 1 เลา เมื่อนักสิละขึ้นบนสังเวียนแล้ว ดนตรีจะประโคมเรียกความสนใจคนดู โดยเฉพาะเสียงปี่เร้าอารมณ์ไม่ยิ่งหย่อนกว่ามวยไทย การไหว้ครูแบบสิละนั้น เขาไหว้ทีละคน วิธีการไหว้ครูแต่ละสำนักแตกต่างกันไป สังเกตว่าขณะรำไหว้ครูนั้น นักสิละจะทำปากขมุบขมิบว่าคาถาเป็นภาษาอาหรับ และที่สำคัญคือขอพรสี่ประการ สรุปเป็นภาษาไทยดังนี้
^  ขออโหสิกรรมแก่คู่ชิงชัย
^  ขอให้ปลอดภัยจากปรปักษ์
^  ขอให้เป็นที่รักแก่เพื่อนบ้าน
^  ขอให้ท่านผู้ชมนิยมศรัทธา 

ตัวอย่างการแข่งขันกีฬาปันจักสีลัต